การลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรม (Plagiarism)

โดย tanawan

ในยุคปัจจุบันเป็นสังคมแห่งยุค Digital มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เราสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือแหล่งสารสนเทศได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส สามารถเข้าได้บ่อยตามต้องการทั้งข้อมูลในและต่างประเทศ ด้วยความสะดวกมรวดเร็วโดยผ่านเครื่องมือช่วยค้นหา (Search Engine) มากมาย เช่น Google, wikipedia, yahoo, MSN, AOL, Ask เป็นต้น หรือการสืบค้นข้อมูลโดยตรงได้จากหน้าเว็บไซต์ ทำให้ได้รับข้อมูลมาใช้งานได้ทันที ซึ่งข้อมูลที่ได้มีทั้งบทคัดย่อ (Abstract) ข้อมูลฉบับเต็ม (Full Text) ซึ่งแตกต่างกับการหาข้อมูลในยุคก่อนโดยสิ้นเชิง ด้วยความสะดวกในการค้นหา จึงทำให้การนำข้อมูลไปใช้อ้างอิงก็เป็นเรื่องง่ายเช่นกัน จนขาดการวิเคราะห์/สังเคราะห์ข้อมูล บางครั้งหลงลืมการให้เกียรติเจ้าของผลงานนั้นๆ โดยการลักลอกผลงานทั้งชิ้นของคนอื่นมาเป็นของตนเองทำเสมือนว่าเป็นตนเป็นต้นคิดผลงานนั้นๆ หรือการนำผลงานผู้อื่นมาประกอบหรือต่อยอดเป็นผลงานของตนเองก็ดี แม้แต่การลักลอกผลงานตนเอง ก็จัดเป็นการลักลอกผลงานวิชาการแทบทั้งสิ้น บางครั้ง/บางรายกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์/ไม่เจตนาเพราะขาดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง แต่บางครั้ง/บางรายกระทำโดยตั้งใจและเจตนา เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน ดังนั้น หากเรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรมไว้บ้าง ก็อาจช่วยลดการขยายตัวของปัญหาการการลักลอกผลงานวิชาการได้บ้างพอสมควร ก่อนอื่นเรามารู้จักประเภทของการลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรมโดยแบ่งตามคุณลักษณะต่างๆ ดังนี้

แบ่งตามแหล่งที่มาของข้อมูล มี 2 ลักษณะ คือ

  1. การลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรมผู้อื่น (plagiarism)
  2. การลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรมของตนเอง (self-plagiarism) คือ การนำผลงานบางส่วนในผลงานครั้งก่อนของตนเองมาใช้ซ้ำให้ดูเสมือนกับเป็นงานเขียนใหม่ ซึ่งอาจเป็นงานเขียนของตนเองร่วมกับผู้อื่น หรือ งานเขียนของตนเองที่มีชื่อผู้เขียนร่วมต่างๆ กัน โดยไม่ระบุว่าเป็นงานเขียนที่ปรากฎในที่อื่นมาแล้ว สามารถแบ่งประเภทการลอกเลียนงานของตนเองออกเป็น 3 ประเภท ด้วยกันคือ
    2.1 การตีพิมพ์เกินความจำเป็น (redundant publication) คือ การนำผลงานของตนเองที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วมาเพิ่มเติม หรือแก้ไขเพียงเล็กน้อย เช่น ใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน หรือเพิ่มเติมข้อมูลเล็กน้อย แต่มีคำบรรยายแตกต่างกัน เช่น ต่างกันที่บทนำ หรือ บทวิจารณ์ แล้วนำมาตีพิมพ์ซ้ำให้ดูเสมือนกับเป็นงานเขียนใหม่
    2.2 การตีพิมพ์ซ้ำ (duplicate publication) คือ การนำผลงานของตนเองที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วมาแก้ไขให้แตกต่างกันเล็กน้อย เช่้น เปลี่ยนชื่อเรื่อง บทคัดย่อ และ/หรือ ลำดับผู้แต่ง แล้วส่งงานของตนเองเพื่อให้ได้รับการตีพิมพ์ในแหล่งพิมพ์ต่างๆ พร้อมกัน ให้ดูเสมือนว่าเป็นงานหลายชิ้น
    2.3 การแบ่งซอยงานออกเป็นส่วนๆ (salami slicing) คือ การนำผลงานของตนเองที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วมาแบ่งซอยย่อยเป็น “งานเขียนใหม่” หลายชิ้น แล้วส่งไปตีพิมพ์ในแหล่งพิมพ์เดียวกันหรือหลายแหล่งให้ดูเสมือนว่าเป็น “งานหลายชิ้น”

แบ่งตามระดับเจตนา มี 2 ลักษณะ คือ

  1. การคัดลอกงานวิชาการและวรรณกรรมแบบตั้งใจ (deliberated plagiarism) หมายถึง การที่บุคคลนั้น มีเจตนาหรือตั้งใจคัดลอกเลียนงานวรรณกรรมของผู้อื่น ทั้งที่ทราบดีว่า เป็นการประพฤติผิดทางวิชาการ แล้วเสนอว่าเป็นงานของตนเองโดยปราศจากการอ้างอิง หรือ บอกแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ทั้งนี้รวมถึงการอ้างอิงที่เป็นเท็จเพื่อสร้งความน่าเชื่อถือต่อผลงานของตนเองด้วย
  2. การลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรมแบบไม่ตั้งใจ (unintentional plagiarism) หมายถึง การที่บุคคลไม่ได้มีเจตนาจะลักลอกงานวรรณกรรมของผู้อื่นแล้วนำมาเป็นของตนเอง แต่เป็นเพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจถึงขอบเขตของการลักลอกวรรณกรรมและขาดความรู้เรื่องหลักเกณฑ์การอ้างอิงที่ถูกต้อง

แบ่งตามวิธีการ มีหลายรูปแบบด้วยกัน คือ

  1. การลักลอกแบบคำต่อคำ (word by word plagiarism) คือ การคัดลอกข้อความจากแหล่งที่มาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำพููดหรือแนวคิดใดๆ
  2. การถอดความแบบนำวลีหลายๆ วลีมาปะติดปะต่อกัน (patchwork paraphrasing) โดยที่วลีเหล่านั้นอาจมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน หรือ หลายแหล่งก็ได้ การตัดข้อความจากแต่ละแหล่งมาปะติดปะต่อกันทำให้ดูเสมือนเป็นงานชิ้นใหม่
  3. การแปลงานจากภาษาต้นฉบับของแหล่งที่มา แล้วนำฉบับแปลนั้นมาเป็นงานของตนเอง
  4. การอ้างอิงและใส่ข้อมูลเท็จ คือ การลอกข้อความ เนื้อหา บทความ งานวิจัย หรืองานทางวิชาการอื่นๆ มาทั้งหมด หรือ บางส่วนจากแหล่งที่มา แล้วอ้างอิงแหล่งที่มา แต่ตั้งใจใส่ข้อมูลของแหล่งที่มาที่เป็นเท็จ
  5. การถอดความ (paraphrasing) คือ การที่ผู้เขียนถอดความหรือเปลี่ยนโครงสร้างของประโยคเดิมของแหล่งที่มา โดยยังคงความคิดของเจ้าของงานไว้
  6. การนำข้อความจากแหล่งที่มามาใช้โดยใส่อัญประกาศ แต่ไม่ได้อ้างถึงแหล่งที่มา
  7. การนำโครงสร้างประโยคจากแหล่งที่มา และนำมาใช้โดยเปลี่ยนคำในประโยคแต่ไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา
  8. การคัดลอกคำบางคำที่มีความหมายเหมาะสม (apt term) หรือนำแนวความคิดจาแหล่งที่มาและนำมาใช้เป็นเนื้องานส่วนใหญ่ของตนเอง ไม่ว่าจะอ้างอิงแหล่งที่มาหรือไม่ก็ตาม

คัดลอกจาก ::

tanawan. (2556). การลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรม (Plagiarism). บล็อกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์. http://www.snc.lib.su.ac.th/snclibblog/?p=34871 สืบค้นวันที่ 21 เมษายน 2558

ตัวอย่างเอกสารที่เกี่ยวข้อง

บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2555). การคัดลอกผลงานทางวิชาการ ผลงานวิจัย สิ่งพิมพ์ วิทยานิพนธ์ (Academic Plagiarism) “ประเด็นที่เราควรตระหนัก”. https://www.grad.chula.ac.th/download/files/Plagiarism.pdf